top of page
self-esteem course cover blog page.jpg
  • พิชาวีร์ เมฆขยาย

10 ข้อแนะนำก่อนยื่นสมัครงาน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ จากใจนายจ้าง

10 ข้อแนะนำก่อนคุณยื่นสมัครงาน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ จากใจนายจ้าง เชื่อว่าในช่วงนี้คนหางานกันเยอะ โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ ที่จบปุ๊บเจอโควิด-19 ปั๊บ ทำให้บรรดานายจ้างต้องสะดุดและงดกิจกรรมหลายอย่างไปโดยปริยาย รวมทั้งการรับสมัครงาน ทำให้อัตราการแข่งขันหางานในตำแหน่งที่เปิดรับที่เหลืออยู่ มีความรุนแรงมากขึ้น ขอบอกว่า อ่อนแอก็แพ้ไป พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณไม่โดดเด่นและเข้าตาจริง ๆ บอกเลยว่า โอกาสในการจะได้งานของคุณยากมาก ๆ

แล้วพอส่งใบสมัคร หรือสัมภาษณ์ไปแล้วไม่ได้งาน บ่อย ๆ เข้า ขวัญและกำลังใจ รวมถึง Self-esteem ของคุณก็ถูกกระทบอีก

job interview

ดังนั้น จากใจนายจ้าง และในฐานะของคนที่เคยทำผิดพลาดในฐานะของคนหางานมาก่อน อยากจะแชร์แนวทาง ที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์และอินเนอร์ล้วน ๆ ตามนี้เลย

1. อ่านให้ละเอียดว่าตำแหน่งที่ว่านั้นทำอะไร

ไม่ใช่สักแต่จะส่งเรซูเม่ออกไป

2. อ่านวิธีรับสมัครให้ดี และทำตามนั้น

หารู้ไม่ว่าแค่สเตปนี้ก็ทดสอบผู้สมัครงานได้แล้วว่า ได้อ่านสารที่สื่อออกไปอย่างรอบคอบรึเปล่า

3. หากเป็นการส่งอีเมล์ให้เขียนแนะนำตัวในอีเมล์ไปด้วยทุกครั้ง

อีเมล์สมัครงาน ที่มีแต่แนบไฟล์ โดยไม่มีข้อความทักทาย แนะนำตัว หรือสรุปคร่าว ๆ เกี่ยวกับตัวคุณ จะถูกตัดทิ้งอันดับแรก ไม่ว่าโปรไฟล์คุณจะเริ่ดแค่ไหนก็ตาม เพราะมันแสดงถึง “ความตั้งใจจริง” ของคุณ ไม่ใช่สักแต่หว่านใบสมัคร ไม่รู้ว่าที่อื่นซีเรียสขนาดไหน แต่สำหรับที่นี่ ไม่รับพิจารณาแน่นอน

4. เรซูเม่ของคุณต้องน่าสนใจและโดดเด่นกว่าคนอีก 99.99%

ไม่ใช่สักแต่จะใส่แค่ว่าจบอะไรมา ประสบการณ์ทำงานอะไร และอื่น ๆ ที่ตามแพทเทิร์นเรซูเม่ที่มีกันเกร่อ คุณคิดดูว่า หากนายจ้างได้รับเรซูเม่สมัครงานเป็นร้อยเป็นพัน แล้วคุณสมบัติใกล้เคียงกัน มันยากมากที่ใบสมัครของคุณจะถูกคัดเลือกขึ้นมา

คำแนะนำคือ ใส่ข้อมูลที่คาดว่าจะช่วยเสริมโปรไฟล์ของคุณ ยิ่งเป็นเด็กจบใหม่ ในระหว่างเรียนเคยทำงานพิเศษอะไร ทำกิจกรรมอะไร ใส่มาให้เยอะ ๆ แนบ port folio ได้ ให้แนบมาด้วย ไม่ว่าผู้รับสมัครจะสนใจดูหรือไม่ก็แล้วแต่ เพราะเอาเข้าจริง ๆ นายจ้างสมัยนี้เค้าไม่ค่อยแคร์หรอก ว่าคุณจะเรียนจบอะไรมา เกรดเท่าไหร่ แต่เค้าจะพิจารณาว่า ประสบการณ์ของคุณเคยออกมาสู่โลกภายนอกบ้างรึเปล่า เข้าใจโลกการทำงานจริงมั้ย เคยผ่านอะไรมาบ้าง ประเภทใส ๆ พ่อแม่ให้เรียนอย่างเดียวนี่ บอกเลย ... ยาก

นอกจากนี้ หากคุณไม่ได้สมัครแอร์โฮสเตส หรืองานที่พิจารณารูปร่างหน้าตา ก็ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำหนัก ส่วนสูง ศาสนา หรือข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องมาทั้งนั้น

5. เตรียมตัวก่อนสัมภาษณ์ วันเวลาสถานที่

ต้องเป๊ะ และตรงเวลาสิ่งนี้คือปัจจัยที่ทำให้นายจ้าง พิจารณาคุณมากเป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งเตรียมตัวดีเท่าไหร่ มาถึงก่อนเวลาเท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงความกระตือรือร้นและความเป็นมืออาชีพของคุณ แต่ถ้าคุณไม่เตรียมตัวเลย สถานที่วันเวลายังผิด ๆ ถูก ๆ และไม่ตรงต่อเวลา แบบนี้ไม่มีใครคิดจะรับคุณเข้าไปในทีมแน่นอน เป็นภาระเปล่า ๆ

6. รู้จักตัวเองให้มากพอ เตรียมตัวตอบคำถาม

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าผิดหวังคือ ผู้สมัครยังไม่รู้จักตัวเองเลย ตอบคำถามไม่ได้ เมื่อถูกถามว่า เป้าหมายในอีก 1-3 ปีข้างหน้าของคุณคืออะไร ชอบทำงานแนวไหน แบบไหนที่คุณไม่ชอบ จุดแข็งของคุณคืออะไร สิ่งที่อยากจะปรับปรุงในตัวเองคืออะไร หรือขายตัวเองให้ดูหน่อยว่ามีดีอะไร เป็นต้น

ทางที่ดีคุณควรเตรียมตัวสำหรับคำถามเหล่านี้ไว้ซักหน่อย ไม่อย่างนั้นคุณจะดูเป็นมนุษย์เฉื่อย ไม่รู้จักตัวเอง ไม่มีแรงขับ ที่ไม่มีใครอยากรับเข้าทีม

7. ทำการบ้านให้ดี รู้จักองค์กรที่คุณกำลังจะไปสัมภาษณ์ให้ปึ๊ก

มันน่าผิดหวัง หากผู้สัมภาษณ์รู้ว่าคุณไม่ได้ศึกษาองค์กรของเขามาก่อน ไม่แม้กระทั่งเข้าไปดูในเว็บไซต์ว่ากิจการของเขาทำอะไร ยังไงบ้าง และข้อนี้จะเป็นตัวตัดสินอนาคตของคุณต่อจากนี้เลย ว่าเขาจะพิจารณาคุณต่อหรือไม่ แต่รู้หรือไม่ว่านี่คือข้อผิดพลาดของผู้สมัครงานส่วนใหญ่ น่าเสียดายแทนจริง ๆ

8. งานอดิเรกต้องน่าสนใจ

อยากจะถอนหายใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เมื่อถามผู้สมัครว่างานอดิเรกของคุณคืออะไร แล้วคำตอบที่ได้มาคือ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ... คือ ... นั่นแทบจะหมายความว่าคุณไม่มีงานอดิเรก เพราะสามสิ่งนี้ คนร้อยทั้งร้อยก็ทำทั้งนั้น คุณควรจะมีงานอดิเรกที่ stand out หรือดูแปลก และแตกต่าง ที่จะทำให้คุณดูเป็นคนน่าสนใจขึ้นมาทันที นั่นหมายความว่า ชีวิตจริง ๆ ของคุณเองก็ต้องเริ่มหางานอดิเรกที่น่าสนใจทำ เพื่ออย่างน้อย เอาไว้เสริมโปรไฟล์ของคุณนั่นเอง

9. ถามคำถามกลับ (ที่ไม่ใช่เรื่องเงิน)

เชื่อว่าทุกครั้งของการสัมภาษณ์ ฝ่ายนายจ้างจะเปิดโอกาสให้คุณได้ถามคำถามพวกเขากลับบ้าง และนั่นคือโอกาสที่คุณจะทำคะแนน เพราะจังหวะนั้นคือการประเมินคุณอีกเช่นกัน ว่าคุณสนใจอยากรู้อะไรบ้าง มีการหาข้อมูลและวิเคราะห์อะไรมาก่อนบ้างหรือเปล่า

อีกทั้งการสัมภาษณ์งาน คือการที่ทั้งสองฝ่ายพิจารณากันและกัน ดังนั้น ผู้สมัครเองก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ในเรื่องที่ควรรู้ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกงานของตัวเองเช่นกัน

แต่ที่แน่ ๆ อย่าเพิ่งกระโดดไปถามเรื่องเงินและจำนวนวันลาพักร้อนเป็นคำถามแรก ๆ เพราะมันจะทำให้คุณดูหวังแต่เงินและชีวิตการทำงานที่สุขสบาย ซึ่งคำถามเหล่านี้ควรจะมาเป็นอันดับท้าย ๆ ก่อนที่การสนทนาจะสิ้นสุดแล้ว หรือไม่ก็ให้ฝ่ายนายจ้างเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเองในบางครั้ง

10. ส่งอีเมล์หรือติดต่อกลับหลังจบการสัมภาษณ์ก็ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม

ไม่ใช่จบแล้วจบเลย แต่คุณควรมีการส่งอีเมล์ไปขอบคุณ สำหรับการสัมภาษณ์ และข้อความเหล่านั้น ไม่ควรเป็น pattern ที่ก๊อปปี้มาจากอินเตอร์เน็ต แต่ควรเป็นคำพูดที่ออกมาจากคุณจริง ๆ นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงความกระตือรือร้นที่คุณอยากทำงานกับเขา

นี่คือ 10 ข้อหลัก ๆ ที่อยากฝากไว้ให้บรรดาคนที่กำลังหางานทำ ส่วนประเด็นย่อย ๆ เช่น แต่งตัวแต่งหน้ายังไง คุณสามารถไปหาอ่านได้ตามคำแนะนำทั่ว ๆ ไปได้

อย่างไรก็ตาม ทั้งสิบข้อนี้ไม่ได้การันตีว่าคุณจะได้งานร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่รับประกันได้ว่า โอกาสในการจะได้งานเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังหางานทุกคนค่ะ

 

พิชาวีร์ เมฆขยาย; นักจิตวิทยาองค์กร ผู้ประกอบการ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาความก้าวหน้าในอาชีพ และการค้นหาตัวตน นักเขียน และ Blogger

bottom of page