top of page
self-esteem course cover blog page.jpg
  • พิชาวีร์ เมฆขยาย

3 สัญญาณที่บอกว่าคุณต้องเปลี่ยนตัวเองได้แล้ว


กฎของชาร์สล์ ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยาชื่อดังบอกเอาไว้ว่า สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุดเสมอไป แต่คือสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้

การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงคือทางรอดของทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ยกเว้นแม้แต่คนเรา แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญคือ บางคนกลับต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมปรับตัว แต่บางคนก็ไม่รู้ตัวว่าต้องเปลี่ยนแล้วหรือต้องปรับเปลี่ยนอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร

วันก่อนแวนสวมรองเท้าที่ชอบคู่หนึ่งเดินช้อปปิ้งในห้าง แต่ปรากฏว่าโดนรองเท้ากัดจนบวม แวนจึงมั่นใจว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่แล้ว บางครั้งสัญญาณที่เตือนว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงนั้นอาจมาในรูปแบบของความเจ็บปวดก็ได้

หากคุณอยากเป็นผู้รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ลองดูกันว่า สัญญาณแบบไหนบ้าง ที่บ่งบอกว่า ถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างซักที

1. ความเจ็บปวดหรือเจ็บป่วย

ตามที่แวนเล่าไปตอนต้นว่าการถูกรองเท้ากัดจนเท้าบวมนั้นคือสัญญาณเตือนว่าต้องเปลี่ยนรองเท้าใหม่ หรือช่วงไหนที่คุณพักผ่อนน้อยติดต่อกันหลายวัน ก็มักมีโอกาสเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นการส่งสัญญาณว่ามีบางอย่างที่กำลังไม่สมดุล ถึงเวลาที่คุณต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตของตัวเอง ปัญหาและความเจ็บปวดที่ผ่านเข้ามาเป็นเหมือนสิ่งที่ถูกส่งมาเตือนว่า ถึงเวลาที่คุณต้องเรียนรู้บางอย่าง และเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว หากคุณยังปล่อยให้เรื่องเดิมๆ วนเข้ามาเล่นงานคุณซ้ำๆ เจ็บปวดและทุกข์วนไปมาซ้ำแล้วซ้ำอีก แสดงว่าคุณยังไม่เรียนรู้มากพอและยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความเจ็บปวดทำหน้าที่เป็นสัญญาณชั้นดี เพื่อมากระตุกเตือนให้คุณรู้สึกตัวว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้อาจเป็นปัญหา ลองตั้งสติ และเงี่ยหูฟังให้ดีว่า ความเจ็บปวดและทุกข์นั้นกำลังบอกอะไรคุณอยู่

2. งาน ธุรกิจ หรือความสัมพันธ์กำลังดิ่งลง

แม้ว่าก่อนหน้านี้ชีวิตคุณจะเคยดีขนาดไหน งานเคยรุ่งมาก ก้าวหน้าเร็วสุด ๆ ธุรกิจมีผลประกอบการเติบโตแบบเหลือเชื่อ หรือความสัมพันธ์เคยหวานชื่อมาตลอด แต่ถึงวันหนึ่งทุกสิ่งที่เคยดีอาจไม่ดีอีกแล้วก็ได้

แม้ว่าคุณจะไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร แต่การเปลี่ยนแปลงจากข้างนอก ที่คุณควบคุมไม่ได้ ก็ยังจะพุ่งเข้ามาหาคุณอยู่ดี ซึ่งการรับมือไม่ใช่การพยายามมั่นคงกับวิถีเดิม ๆ วิธีการแบบเดิม แต่คุณต้องหาทางปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง เพื่อเรียกคืนทุกสิ่งให้กลับมาดีเหมือนเดิม

เช่นในธุรกิจของคุณ กลยุทธ์การตลาดและโมเดลธุรกิจที่มีอาจใช้ได้ผลมาตลอด แต่เมื่อถึงจุดที่ตลาดมีปัจจัยใหม่เข้ามา เทคโนโลยีเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน คุณจึงจำเป็นต้องปรับตัวตาม เพราะคุณไม่อาจฝืนให้คนอื่นหรือสิ่งอื่นเปลี่ยนกลับคืนตามที่คุณต้องการได้

ความจริงแล้วคุณไม่ควรรอให้ทุกอย่างดิ่งลงก่อนแล้วค่อยเปลี่ยน แต่คุณควรสังเกตเห็นสัญญาณ หรือคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วรีบไหวตัวให้ทันก่อนทุกอย่างจะเริ่มแย่จะดีกว่า

3. ความผิดพลาดที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

หากการทำสิ่งเดิมแล้วทำให้คุณผิดพลาดแบบเดิม ๆ ไอน์สไตน์บอกว่า มีแต่พวกเพี้ยนเท่านั้นที่คาดหวังว่าทำแบบเดิมแล้วผลลัพธ์จะเปลี่ยนไป ซึ่งการทำวิธีเดิมแล้วก็ยังเกิดข้อผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นก็สมมติฐานได้ว่า วิธีนั้นมันไม่เวิร์คมาตั้งแต่ต้น หรือสิ่งที่คุณทำยังไม่ถูกต้องหรือดีพอ

ความผิดพลาดคือครูที่ดี ที่สอนบทเรียนแก่คุณ แต่ครั้งเดียวก็เกินพอ หากคุณยังปล่อยให้ตัวเองผิดพลาดในเรื่องเดิมซ้ำครั้งที่สองที่สาม นั่นยิ่งชัดเจนว่า ตัวคุณเองต่างหากที่ต้องไม่ทำแบบเดิมอีก ต้องเรียนรู้ และต้องพัฒนาตัวเองให้เร็ว ก่อนที่คุณจะสูญเสียไปมากกว่านี้

อย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลงคือเรื่องธรรมชาติ ไม่มีอะไรจะเหมือนเดิมหรือคงเดิมไปตลอดกาล คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงคือคนที่ไม่เข้าใจหลักการของธรรมชาติ ยิ่งทำให้คนคนนั้นทุกข์กับการใช้ชีวิต และตามไม่ทันกับความเป็นไปที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่คนที่รู้จักสังเกตสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้วรีบกระโดดก่อน เหมือนกบที่กระโดดออกจากหม้อต้มก่อนที่จะกลายเป็นกบต้ม คนคนนั้นจะมีชีวิตที่สงบสุขมากกว่า ด้วยการลื่นไหลและเต้นรำไปกับสายน้ำแห่งการเปลี่ยนแปลง

 

ที่มาของภาพ https://twitter.com/boiling_the

bottom of page